วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

ระบบฐานข้อมูล

แบบฝึกหัดบทที่ 4 การสร้างฟอร์ม (Form)

1.ความหมายของฟอร์ม (Form)
ตอบ คือ หน้าจอสำหรับติดต่อกับผู้ใช้งาน ที่สร้างขึ้นมาเพื่อนช่วยให้ผู้ใช้ทำงานกับข้อมูลในตารางได้สะดวกกว่าการใช้มุมมองแผ่นตารางข้อมูล (Datasheet View) และยังช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับแอปพลิเคชั่นที่ได้สร้างขึ้นมาอีก
2.ประเภทของฟอร์มมีกี่แบบ อะไรบ้าง
ตอบ มี 5 แบบ คือ
1.ฟอร์มแบบคอลัมน์ (Columnar Form) หรือฟอร์มเดี่ยว ซึ่งเป็นฟอร์มที่แสดงข้อมูล หนึ่งเรดคอร์ดต่อหนึ่งหน้าของฟอร์ม
2.ฟอร์มแบบตาราง(Tabular Form) เป็นฟอร์มที่แสดงข้อมูลทุกเรดคอร์ด
3.ฟอร์มแบบแผ่นตารางข้อมูล (Datasheet Form) เป็นฟอร์มที่แสดงทุกเรดคอร์ดในลักษณะแผ่นตาราง เช่นเดียวกับตาราง (Table)
4.ฟอร์มแบบตารางสรุปข้อมูลหลายมิติ(Pivot Table Form) เป็นฟอร์มที่ใช้แสดงข้อมูลหลายมิติหรือหลายฟิลด์ ทำให้สามารถดูข้อมูลได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น
5.ฟอร์มแบบแผนภูมิสรุปข้อมูลหลายมิติ(Pivot Chart Form) เป็นฟอร์มที่ใช้แสดงข้อมูลในลักษณะแผนภูมิ ซึ่งสามารถดูข้อมูลได้หลายฟิลด์ที่ต้องการ
3.มุมมองของฟอร์มมีกี่มุมมอง อะไรบ้าง
ตอบ 3 มุมมอง คือ
1.มุมมองเค้าโครง (Layout View) เป็นมุมมองใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใน Access 2007 ซึ่งคล้ายกับมุมมองการออกแบบตรงที่สามารถจัดรูปแบบของฟอร์มได้ในบางส่วน เช่น การกำหนดสี ปรับขนาดอักษร ปรับขนาดฟิลด์ เป็นต้น แต่แสดงข้อมูลคล้ายในมุมมองฟอร์ม
2.มุมมองการออกแบบ (Design View) เป็นมุมมองสำหรับสร้างและออกแบบฟอร์ม
3.มุมมองฟอร์ม (Form View) เป็นมุมมองในการแสดงผลข้อมูลและใช้งานฟอร์ม ซึ่งไม่สามารถแก้ไขฟอร์มได้
4.เครื่องมือที่ใช้ในการจัดรูปแบบฟอร์มมีอะไรบ้าง
ตอบ 10 รูปแบบ คือ
1. ปุ่ม Form (ฟอร์มแบบคอลัมน์) เป็นคำสั่งแสดงข้อมูลทีละ 1 เรคคอร์ด
2. ปุ่ม Split Form (ฟอร์มแยก) สามารถเห็น 2 มุมมองในเวลาเดียวกัน คือมุมมองฟอร์มและมุมมองแผ่นตารางข้อมูล แสดงรายการของเรคคอร์ดทั้งหมด
3. ปุ่ม Multiple Items (หลายรายการ) สร้างฟอร์มแบบตาราง
4. ปุ่ม PivotChart เป็นการสร้างแผนภูมิ เพื่อสรุปผลข้อมูลแบบหลายมิติ
5. ปุ่ม From Wizard (ฟอร์มเพิ่มเติม-->ตัวช่วยสร้างฟอร์ม) ใช้เครื่องมือช่วยสร้างฟอร์มที่ เรียกว่า วิซาร์ด ทำให้การสร้างฟอร์มง่ายและเร็วยิ่งขึ้น
6. ปุ่ม Datasheet (แผ่นข้อมูล) สร้างฟอร์มในรูปแบบแผ่นตารางข้อมูล แสดงได้หลายเรคคอร์ดต่อ 1 หน้า สะดวกในการใช้งานกับแป้นพิมพ์ แต่ไม่สามารถสร้างปุ่มคำสั่งบนฟอร์มได้
7. ปุ่ม Modal Dialog (กล่องโต้ตอบ) สร้างฟอร์มในลักษณะไดอะล็อกบ็อกซ์ มีการกำหนดคุณสมบัติแบบ Popup และมีปุ่มในการทำงานให้อัตโนมัติ
8. ปุ่ม PivotTable สำหรับสร้างตารางสรุปข้อมูล
9. ปุ่ม Blank Form (ฟอร์มเปล่า) สร้างฟอร์มเปล่าด้วยการออกแบบเอง จะเข้าสู่การสร้างในมุมมองเค้าโครง(Layout View)
10. ปุ่ม Form Design (ออกแบบฟอร์ม) สร้างฟอร์มเปล่าด้วยการออกแบบเอง

ระบบฐานข้อมูล

การสร้างรายงาน (REPORT)
ตอนที่ 1 แบบปรนัย
1. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ได้จัดอยู่ในประเภทของรายงาน
ตอบ ง. Chat
2. มุมมองของรายงานที่เพิ่มเข้ามาใหม่ใน Access 2007 คือมุมมองใด
ตอบ ก. Layout View
3. Page Footer คือส่วนใด
ตอบ ค.ส่วนที่ต้องการแสดงผลข้อมูลให้ปรากฏอยู่ที่ส่วนท้ายของทุกๆหน้ารายงาน
4 หลังจากแทรกชื่อเรื่อง(Title)ของรายงานแล้ว จะแสดงพื้นที่ส่วนใดของรายงานให้อัตโนมัติ
ตอบ ง.ถูกทุกข้อ
5. ผลลัพธ์ในการสร้างรายงานแบบอัตโนมัติจะมีลักษณะของรายงานเป็นแบบใด
ตอบ ง. Label
6. ถ้าต้องการสร้างรายงานโดยให้มีการจัดกลุ่มของข้อมูลด้วย จะต้องสร้างรายงานด้วยวิธีใด
ตอบ ง. ถูกทุกข้อ
7. ถ้าต้องการสรุปข้อมูลในรายงานโดยให้แสดงอยู่ที่ส่วนท้ายสุดของรายงานจะต้องกำหนดที่ตำแหน่งใด
ตอบ ข. Page Footer
8. ในการป้อนข้อมูลสูตรฟังก์ชั่นจะต้องใช้เครื่องมือใด
ตอบ ข. Text box
9. ฟังก์ชั่นใดที่ใช้ในการหาค่าเฉลี่ยของข้อมูล
ตอบ ง. Avg
10. ข้อใดต่อไปนี้เป็นการเขียนสูตรฟังก์ชั่นในการหาผลรวมของฟิลด์เงินเดือน
ตอบ ข.= Sum ([Salary])
ตอนที่ 2 จับคู่
1. ฌ Columnar Report ก.ส่วนในการแสดงฟิลด์ข้อมูลที่ดึงมาจากตาราง
2. จ Tabular Report ข.รายละเอียดในส่วนหัวรายงานที่แสดงในหน้าแรก
3. ฉ Label Report ค.แสดงเลขหน้าปัจจุบัน
4. ญ Page Header ง.รวมข้อมูลทั้งหมด
5. ข Report Header จ.แสดงข้อมูลทุกเรคอร์ดใน 1 หน้ารายงาน
6. ก Detail ฉ.พิมพ์ป้ายฉลากติดซองจดหมาย
7. ช Pages ช.แสดงเลขหน้าทั้งหมด
8. ค Page ซ.แสดงข้อมูลโดยเรียงฟิลด์แต่ละเรคคอร์ดจากบนลงล่าง
9. ง Sum ฌ.นับจำนวนทั้งหมด
10. ซ Count ญ.รายละเอียดในส่วนหัวรายงานที่แสดงทุกหน้าของรายงาน

ตอนที่ 3 แบบอัตนัย
1. การสร้างรายงานมีกี่แบบ อะไรบ้าง และแต่ละแบบมีประโยชน์อย่างไร
ตอบ มี 3 แบบ คือ
1. รายงานแบบคอลัมน์ (Columnar Report) เรียงฟิลด์แต่ละเรคคอร์ดจากบนลงล่างทีละ 1 เรคคอร์ด
2. รายงานแบบตาราง (Tabular Report) แสดงแบบแถวและคอลัมน์ แสดงข้อมูลทุกเรคคอร์ดใน 1 หน้ารายงาน
โดยเรียงจากซ้ายไปทางขวาของรายงาน
3. รายงานแบบป้ายชื่อ (Label Report) สำหรับพิมพ์ป้ายฉลากต่าง ๆ เช่น ฉลากติดซองจดหมาย เป็นต้น
2. จงบอกถึงส่วนประกอบของรายงาน และแต่ละส่วนมีหน้าที่อะไร
ตอบ 1. Report Header คือ พื้นที่ในส่วนหัวของรายงาน เป็นส่วนที่ใช้ในการแสดงข้อความหรือรายละเอียดที่ต้องการแสดงในหน้าแรกของรายงานเท่านั้น เช่น โลโก้ของรายงาน แสดงชื่อรายงาน เป็นต้น
2.Page Header คือ พื้นที่ในส่วนหัวของหน้ากระดาษ เป็นส่วนที่ใช้ในการแสดงข้อความหรือรายละเอียดที่ต้องการแสดงในทุกๆหน้าของรายงาน เช่น แสดงชื่อกำกับฟิลด์(รายงานแบบตาราง) แสดงเลขหน้าเป็นต้น
3. Detail คือ พื้นที่ในการแสดงข้อมูลที่ดึงมาจากฐานข้อมูล ทั้งในตารางและในแบบสอบถามข้อมูล
4. Page Footer คือ พื้นที่ในส่วนท้ายของกระดาษ เป็นส่วนที่ใช้ในการแสดงข้อความ
หรือรายละเอียดที่ต้องการแสดงในทุกๆหน้าของรายงาน เช่น แสดงเลขหน้า เป็นต้น
5. Report Footer คือ พื้นที่ในส่วนท้ายของรายงาน เป็นส่วนที่ใช้ในการแสดงข้อความหรือรายละเอียดที่ต้องการแสดงในหน้าสุดท้ายของรายงานเท่านั้น เช่น แสดงผลการคำนวณ แสดงวันที่จัดพิมพ์ เป็นต้น
3. จงอธิบายขั้นตอนการสร้างรายงานแบบ Report Wizard
ตอบ 1. คลิกที่แท็บ Create
2.คลิกเลือก Report Wizard ในกลุ่มของ Reports
3.เลือกตารางหรือแบบสอบถามข้อมูลที่ต้องการนำมาสร้างรายงาน
4.คลิกเลือกฟิลด์ที่ต้องการ แล้วคลิกปุ่ม > เพื่อเลือกทีละฟิลด์ หรือคลิกปุ่ม >> เพื่อนเลือกฟิลด์ทั้งหมด
5.แล้วคลิกปุ่ม Next>
6.เลือกข้อมูลที่ต้องการแสดงรายละเอียด
7.แล้วคลิกปุ่ม Next>
8.เลือกฟิลด์ที่ต้องการ แบ่งกลุ่มข้อมูล แล้วคลิกที่ปุ่ม >เพื่อเลือกฟิลด์
9.แล้วคลิกปุ่ม Next>
10.เลือกฟิลด์ที่ต้องการเรียงลำดับ ถ้าต้องการเรียงลำดับข้อมูลจากน้อยไปหามากให้คลิกที่ปุ่ม Ascendingและคลิกที่ปุ่มDescending ถ้าต้องการเรียนจากมากไปหาน้อย
11.แล้วคลิกปุ่ม Next>
12. เลือกรูปแบบตำแหน่งการจัดวางรายงานที่ Layoutและที่Orientationเลือกแนวกระดาษเลือก Portraitสำหรับแนวตั้งและ Landscape สำหรับแนวนอน
13.แล้วคลิกปุ่ม Next>
14.เลือกสไตล์หรือรูปแบบรายงานที่ต้องการ
15.แล้วคลิกปุ่ม Next>
16.ตั้งชื่อรายงานที่ต้องการ และเลือกการแสดงผลรายงานในมุมมองตัวอย่างก่อนพิมพ์หรือมุมมองในการแก้ไขรายงาน
17.แล้วคลิกปุ่ม Finish
4.อธิบายขั้นตอนการสร้างรายงานแบบ Label Wizard
ตอบ 1. คลิกที่แท็บ Create
2.เลือกตารางหรือแบบสอบถามข้อมูลที่ต้องการนำมาสร้างเลเบล
3.คลิกที่ปุ่ม Labelsในกลุ่มของ Reports จากนั้นจะแสดงหน้าจอให้เลือกขนาดของเลเบล
4.เลือกขนาดของแถบที่ต้องการ ซึ่งถ้าหารต้องการกำหนดขนาดของเลเบลใหม่ให้คลิกที่ปุ่ม Customize แล้วกำหนดขนาดใหม่
5.แล้วคลิกปุ่ม Next>
6.กำหนดรูปแบบที่ต้องการแสดง
7.แล้วคลิกปุ่ม Next>
8.คลิกเลือกฟิลด์ที่ต้องการแสดงในเลเบล โดยคลิกปุ่ม > เพื่อเลือกข้อมูล ซึ่งถ้าหากต้องการเว้นวรรคในแต่ละฟิลด์ ให้กดปุ่ม Spacebar ที่แป้นพิมพ์ และถ้าต้องการขึ้นบรรทัดใหม่ก็สามารถกดปุ่ม Enterได้
9.แล้วคลิกปุ่ม Next>
10.เลือกฟิลด์ที่ต้องการเรียงลำดับข้อมูลใน เลเบล โดยคลิกปุ่ม > เพื่อเลือกฟิลด์ข้อมูล
11.แล้วคลิกปุ่ม Next>
12.ตั้งชื่อรายงานและเลือกการแสดงผล เลเบล ในมุมมองตัวอย่างก่อนพิมพ์หรือมุมมองในการแก้ไขเลเบล
13.แล้วคลิกปุ่ม Finish
5.จงบอกถึงข้อดีและข้อเสียของรายงานแบบอัตโนมัติ
ตอบ ข้อดี ข้อเสีย
-สะดวกรวดเร็ว - ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลในตารางได้ในขณะที่พิมพ์ออกมาได้แบบฟอร์ม
-สามารถคำนวณข้อมูลได้
-สามารถพิมพ์ออกมาได้

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แบบทดสอบการเรียนโปรแกรมภาษาHTML






รายชื่อนักศึกษาระดับปวส.1 สทส.1
สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ประจำปีภาคเรียนที่ 1/2554
ลำดับชื่อ-สกุลชื่อเว็บไซต์บล๊อก
1นายศุภชัย กิยแพทย์http://suppachai-artzii.blogspot.com/
2นายพงศกร นามสุดใจhttp://piingpong48.blogspot.com/
3นายชินดนัย เสมอเหมือนhttp://promkcc.blogspot.com/
4นายธันวา ไชยเดชhttp://jonaja.blogspot.com/
5นายทศพร ไทยประดิษฐ์http://bigbill235.blogspot.com/
6นายอภิศักดิ์ กองศรีhttp://exromantic.blogspot.com/
7นายขันติ เข็มทองhttp://jojoget777.blogspot.com/
8นายภานุพันธุ์ ปราณีhttp://panupan32.blogspot.com/
9นายภูวเดช โสภณธนยศhttp://phuwadhej.blogspot.com/
10นายศรายุธ ปรีชาวินิจกุลhttp://ohlor.blogspot.com/

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วิชาสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์

แบบฝึกหัดบทที่ 1

วิชาระบบฐานข้อมูล

แบบฝึกหัดบทที่ 1

ฐานข้อมูล (Database) หมายถึง กลุ่มของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน และนำมาจัดเก็บในที่เดียวกัน

ระบบฐานข้อมูล (Database System) หมายถึง ระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน เกี่ยวข้องเป็นเรื่องเดียวกัน รูปแบบเป็นระเบียบแบบแผน และจัดเก็บไว้ในที่เดียวกัน

ระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) Database Management System หมายถึง โปรแกรมที่ทำหน้าที่ในการกำหนดลักษณะข้อมูลที่จะเก็บไว้ในฐานข้อมูล เพื่ออำนวยความ สะดวกในการบันทึกข้อมูลลงในฐานข้อมูล เสมือนเป็นตัวกลางระหว่าง ผู้ใช้กับฐานข้อมูล



สรุปหน่อยที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับฐานข้อมูลและโปรแกรม Microsoft Access 2007
ระบบฐานข้อมูล (Database System)
คือ ระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน เกี่ยวข้องเป็นเรื่องเดียวกัน โดยมีรูปแบบการจัดเก็บที่เป็นระเบียบแบบแผน และจัดเก็บไว้ในที่เดียวกันซึ่ง เป็นฐานข้อมูลขององค์กร ทำให้แต่ละหน่วยงานสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ และสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ เมื่อมีการปรับปรุงข้อมูล ก็สามารถทำได้โดยผ่านตัวกลางที่เรียกว่า ระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System : DBMS)
ระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System : DBMS)
คือ โปรแกรมที่ทำหน้าที่ในการกำหนดลักษณะข้อมูลที่จะเก็บไว้ในฐานข้อมูล เพื่ออำนวยความสะดวกในการบันทึกข้อมูลลงในฐานข้อมูล กำหนดผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ฐานข้อมูลได้ พร้อมกับกำหนดด้วยว่าให้ใช้ได้แบบใดนอก จากนั้นยังอำนวยความสะดวกในการค้นหาข้อมูลและการแก้ไขปรับปรุงข้อมูล ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย สะดวก และมีประสิทธิภาพ เสมือนเป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับฐานข้อมูลให้สามารถติดต่อกันได้ ซึ่งรายละเอียดของประโยชน์ในการใช้ระบบจัดการฐานข้อมูลจะได้กล่าวถึงต่อไป
ประโยชน์ในการใช้ระบบฐานข้อมูล
1. ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล
2. ทำให้เกิดความสอดคล้องของข้อมูล
3. ควบคุมความถูกต้องของข้อมูล
4. สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้
5. มีความปลอดภัย
6. ขจัดความขัดแย้งในการใช้ข้อมูลร่วมกัน
7. ข้อมูลที่จัดเก็บมีความทันสมัย
แต่ อย่างไรก็ตาม ในการใช้ฐานข้อมูลนั้น ถึงแม้ว่าการประมวลผลด้วยระบบจัดการฐานข้อมูลจะมีข้อดีหลายประการ แต่ก็จะมีข้อเสียอยู่บ้างดังต่อไปนี้
1. เสียค่าใช้จ่ายสูง
2. เกิดความสูญเสียข้อมูลได้
หลักการออกแบบฐานข้อมูล
ขั้นตอนในการออกแบบฐานข้อมูลนั้นมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. กำหนดวัตถุประสงค์ในการสร้างระบบฐานข้อมูล ว่าต้องการใช้จัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใด
2. กำหนดวัตถุประสงค์ในการสร้างฐานข้อมูล ว่าต้องการใช้เพื่อทำอะไร และต้องการอะไรบ้าง
3. สอบถามความต้องการของผู้ใช้ว่าจะต้องป้อนข้อมูลใดบ้างเข้าสู่ระบบ และผลลัพธ์ที่ได้ออก มาจากระบบว่าต้องการอะไรบ้าง สิ่งใดเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น และสิ่งใดสามารถช่วยให้ระบบมีประสิทธิภาพการทำงานสูงยิ่งขึ้น
4. วิเคราะห์และรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมด
5. จัดกลุ่มข้อมูลที่ต้องการเก็บในระบบฐานข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของตาราง (Table) โดย พิจารณาจากความสัมพันธ์ว่าเป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่
6. วิเคราะห์ข้อมูลแต่ละตาราง เพื่อกำหนดเขตข้อมูลหรือฟิลด์ข้อมูลให้ครบถ้วน
7. พิจารณาเขตข้อมูลหลักหรือฟิลด์หลัก (Primary Key) ของแต่ละตาราง
8. วิเคราะห์โครงสร้างข้อมูลที่ได้ตามหลักการ Normalization เพื่อให้ได้ตารางข้อมูลที่ มีโครงสร้างไม่ซับซ้อนและถูกต้อง
9. กำหนดชนิดข้อมูล (Data Type) ที่ต้องการจัดเก็บว่าอยู่ในรูปแบบใด
10. กำหนดความสัมพันธ์ของข้อมูลในฐานข้อมูล (Relationship)
11. ออกแบบหน้าจอการใช้งาน
กฎการ Normalization
เป็น กฎที่ใช้ในการออกแบบตาราง เพื่อลดความซ้ำซ้อน แก้ไขตารางได้ง่าย และถ้าเปลี่ยนแปลงข้อมูล จะมีผลกระทบต่อข้อมูลอื่นน้อยที่สุด โดยทั่วไปแล้ว เราใช้กฎ
Normalization เพียง 3 ข้อก็เพียงพอในการออกแบบตารางโดยทั่วไปแล้วจากรายละเอียดทั้งหมด 4 ข้อดังนี้
1. กฎข้อที่ 1 (First Normal Form) กล่าวว่า จะต้องไม่มีเซลล์ใดในตารางที่มีค่าเกิน 1 ค่า ดังนั้นเราสามารถทำให้ตารางผ่านกฎข้อที่ 1 ได้โดยการแยกเซลล์ที่มีค่าเกินหนึ่งออกเป็นเรคอร์ดใหม่
2. กฎข้อที่ 2 (Second Normal Form) กล่าวว่า ตารางที่ผ่านกฎข้อที่ 2 จะต้องไม่มี แอตตริบิวต์ (Attribute) หรือ ฟิลด์ที่ไม่ใชคีย์หลักไปผสมหรือปนอยู่กับส่วนใดส่วนหนึ่งของคีย์หลัก จะต้องมีเฉพาะคีย์หลักเต็ม ๆ เท่านั้น ซึ่งจะผ่านกฎข้อนี้ จะต้องแยกฟิลด์เฉพาะออกมาสร้างตารางใหม่ แล้วใช้ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม (One-to-Many)
3. กฎข้อที่ 3 ( Third Normal Form) กล่าวว่า ตารางที่ผ่านกฎข้อที่ 3 จะต้องไม่มี แอตตริบิวต์ใดที่ขึ้นกับแอตตริบิวต์อื่นที่ไม่ใช่คีย์หลัก การแก้ไขให้ผ่านกฎข้อนี้ ทำได้โดยแยกตารางออกมาสร้างตารางใหม่
4. กฎข้อที่ 4 ( Fourth Normal Form) กล่าวว่า ตารางที่ผ่านกฎข้อที่ 4 จะต้องไม่มี การขึ้นต่อกันแบบเชิงกลุ่ม (Multivalued Dependency) ซึ่งเป็นความสัมพันธ์แบบ Many-to-Many ภายในตารางเดียวกัน
ความสามารถของ Microsoft Access 2007
1. สร้างแอปพลิเคชั่นฐานข้อมูลต่าง ๆ
2. สามารถสร้างตาราง (Table) เก็บข้อมูล และออกแบบโครงสร้างของข้อมูลได้
3. มีเครื่องมือที่ช่วยในการสอบถามข้อมูล (Query) จากฐานข้อมูล และสามารถคำนวณหา ผลลัพธ์ได้อีกด้วย
4. มีเครื่องมือฟอร์ม (From) ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการข้อมูลได้สะดวกและง่ายยิ่งขึ้น
5. สามารถสรุปรายงาน (Report) ออกมาเป็นรูปแบบต่าง ๆ
6. มีแม่แบบ (Template) และเครื่องช่วย (Wizard) ที่ช่วยในการสร้างฐานข้อมูลให้ สะดวกยิ่งขึ้น
7. สามารถนำข้อมูลเข้า (Import) จากฐานข้อมูลอื่น หรือส่งข้อมูลออก (Export) ไปยัง ฐานข้อมูลอื่นได้
8. สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลด้วย Windows SharePoint Services เพื่อแบ่งปัน ข้อมูล Access 2007 กับทุกคนในทีมโดยใช้ Windows SharePoint Services และ Access 2007 ทำให้เพื่อนร่วมทีมสามารถเข้าถึงข้อมูล แก้ไขข้อมูล และดูรายงานแบบเรียลไทม์ ซึ่งก็คือสามารถดูข้อมูลได้โดยตรงจากหน้าจอบนเว็บไซต์
คุณสมบัติใหม่ของ Access 2007
มีการปรับปรุงด้านหลัก ๆ 4 ด้านคือ
1. ใช้งานสะดวกยิ่งขึ้น โดยมีส่วนติดต่อผู้ใช้ใหม่ที่เรียกว่า “ริบบอน” หรือ “ริบบิ้น” (Ribbon)
2. การจัดการรูปแบบของไฟล์โดยสนับสนุนไฟล์ฟอร์แมตใหม่ 3 ชนิดคือ Microsoft Office Open XML, PDF และ XPS
3. ปรับปรุงการทำงานร่วมกันของโปรแกรมในชุด Microsoft Office
4. ปรับปรุงด้านความปลอดภัย
ความต้องการของระบบในการใช้งาน Access 2007
ความต้องการของระบบขั้นต่ำที่ไมโครซอฟต์ได้ระบุไว้ดังนี้
1. หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) อย่างต่ำ 500 MHz
2. หน่วยความจำ (RAM) อย่างต่ำ 256 MB แนะนำ 512 MB
3. พื้นที่เก็บข้อมูล (Harddisk) 1.5 GB
4. ไดรฟ์ต่าง ๆ เช่น CD-ROM,DVD เป็นต้น
5. ความละเอียดในการแสดงผลของจอภาพ 1024 x 768 พิกเซล หรือสูงกว่า
6. ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows XP Service Pack2 หรือ Windows Server 2003 หรือระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่กว่า
การวัดและประเมินผลการผ่านจุดประสงค์

ตอนที่1
1. ข. 6. ค.
2. ก. 7. ง.
3. ก. 8. ก.
4. ค. 9. ง.
5. ก. 10. ค.

ตอนที่2 แบบจับคู่
1. ช DBMS
2. จ Normalization
3. ซ Office Button
4. ญ Quick Access Toolbar
5. ฌ Ribbon
6. ก Navigation Pane
7. ค Document Window
8. ข Query
9. ง Macro
10. ฉ Module

ตอนที่3 แบบอัตนัย
1.จงอธิบายถึงความหมายของฐานข้อมูล
ตอบ กลุ่มของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน และนำมาจัดเก็บในที่เดียวกัน

2.ระบบฐานข้อมูลมีประโยชน์อย่างไร
ตอบ 1.ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล
2.ทำให้เกิดความสอดคล้องของข้อมูล
3.ควบคุมความถูกต้องของข้อมูล
4.สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้
5.มีความปลอดภัย
6.ขจัดความขัดแย้งในการใช้ข้อมูลร่วมกัน
7.ข้อมูลที่จัดเก็บมีความทันสมัย
3.ใน Microsoft Access 2007 ประกอบไปด้วยออบเจ็กต์อะไรบ้าง และมีหน้าที่อย่างไร
ตอบ 1.Table คือ ตารางที่ใช้ในการเก็บข้อมูลทั้งหมด
2.Queries คือ ส่วนที่ช่วยค้นหาหรือสร้างแบบสอบถามข้อมูล
3.Forms คือ แบบฟอร์มในการทำงาน ใช้สำหรับจัดการกับข้อมูลแทนการจัดการในตาราง
4.Reports คือ ส่วนที่สร้างรายงานสรุปข้อมูล เพื่อนำเสนอข้อมูลในตาราง
5.Macros คือ ชุดคำสั่งการกระทำต่างๆที่นำมารวมกลุ่มกัน
6.Modules คือ โปรแกรมย่อยที่เขียนขึ้นด้วยภาษา VBA
4.จงอธิบายหลักการออกแบบฐานข้อมูลมาพอเข้าใจ
ตอบ 1.กำหนดวัตถุประสงค์ในการสร้างระบบฐานข้อมูล ว่าต้องการใช้จัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใด
2. กำหนดวัตถุประสงค์ในการสร้างฐานข้อมูล ว่าต้องการใช้เพื่อทำอะไร และต้องการอะไรบ้าง จากระบบนี้
3. สอบถามความต้องการของผู้ใช้ว่าจะต้องป้อนข้อมูลใดบ้างเข้าสู่ระบบ และผลลัพธ์ที่ได้ออกมาจากระบบว่าอะไร
บ้างที่สามารถช่วยให้ระบบมีประสิทธิภาพการทำงานสูงยิ่งขึ้น
4. วิเคราะห์และรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมด
5.จัดกลุ่มข้อมูลที่ต้องการเก็บในระบบฐานข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของตาราง (Table)
6. วิเคราะห์ข้อมูลแต่ละตาราง
7. พิจารณาเขตข้อมูลหลักหรือฟิลด์หลัก (Primary Key) ของแต่ละตาราง
8. วิเคราะห์โครงสร้างข้อมูลที่ได้ตามหลักการ Normalization
9. กำหนดชนิดข้อมูล (Data Type) ที่ต้องการจัดเก็บว่าอยู่ในรูปแบบใด
10. กำหนดความสัมพันธ์ของข้อมูลในฐานข้อมูล (Relationship)
11. ออกแบบหน้าจอการใช้งาน
5.จงยกตัวอย่างระบบงานที่ควรนำระบบฐานข้อมูลเข้ามาใช้ พร้อมทั้งอธิบายเหตุผล
ตอบ งานทะเบียน เพราะว่าเป็นงานที่ทำเกี่ยวกับประวัติของพนักงานหรือนักเรียนทั้งหมด ซึ่งมีข้อมูลต่างๆ หลายอย่าง


แบบฝึกหัดบทที่ 2


แบบฝึกหัดบทที่ 2
ตอนที่ 1
1. ก 6. ก
2. ง 7. ก
3. ค 8. ค
4. ข 9. ค
5. ค 10. ก

ตอนที่ 2
1. ฌ. Field
2. ง. Record
3. จ. Memo
4. ข. OLE Object
5. ซ Currency
6. ญ Attachment
7 ก Input Mask
8 ฉ Format
9. ช Descending
10. ค Ascending

ตอนที่ 3
1. จงอธิบายถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการสร้างตาราง
ตอบ การสร้างตาราง ลงใน เว็บเพจมีประโยชน์มหาศาล เราสามารถ ประยุกต์ นำไปใช้ได้หลายอย่าง เพื่อเป็นการเพิ่มสีสันความสวยงามของเว็บเพจ การสร้างตาราง ในเว็บเพจก็ไม่แตกต่างจากการสร้างตารางบนแผ่นกระดาษทั่ว ๆ ไป เราเคยทำตารางอย่างไร ก็สามารถสั่งให้เว็บเพจของเรา ทำอย่างนั้นได้ เช่นกัน ต่างกันที่ว่าในเว็บเพจเราไม่สามารถที่จะ นำเอาปากกา ดินสอ ไม้บรรทัด หรืออุปกรณ์ สำหรับเขียนตารางเข้าไปเขียนบนจอภาพได้ เราใช้ นิ้วมือของเรา เป็นผู้พิมพ์คำสั่ง สำหรับสร้างตารางขึ้นมา

2. จงบอกถึงคุณสมบัติในการเลือกฟิลด์ข้อมูลที่จะนำมาเป็นคีย์หลัก (Primary Key)
ตอบ ฟิลด์ที่มีข้อมูลในเรคอร์ดที่ไม่ซ้ำกัน เพื่อเป็นตัวกำหนดให้ทุกเรคอร์ดแตกต่างกันและเป็นฟิลด์ที่ไม่เป็นค่าว่าง คือจะต้องมีค่าอยู่เสมอ เช่นรหัสพนักงาน รหัสประจาตัวนักเรียน เป็นต้น

3. อธิบายถึงความแตกต่างในการสร้างตารางด้วยมุมมองการออกแบบ (Table Design) และมุมมองแผ่นข้อมูล (Datasheet View)
ตอบ มุมมองแผ่นข้อมูล เป็นมุมมองที่แสดงข้อมูลจากตาราง ฟอร์ม แบบสอบถาม วิว หรือ Stored Procedure ในรูปแบบของแถวและคอลัมน์ในมุมมองแผ่นข้อมูล คุณสามารถแก้ไขเขตข้อมูล เพิ่มและลบข้อมูล และค้นหาข้อมูลได้
มุมมองออกแบบ เป็นมุมมองที่แสดงการออกแบบของวัตถุฐานข้อมูลต่อไปนี้ ได้แก่ ตาราง แบบสอบถาม ฟอร์ม รายงาน และแมโคร ในมุมมองออกแบบคุณสามารถสร้างวัตถุฐานข้อมูลใหม่และปรับเปลี่ยนการออกแบบของวัตถุที่มีอยู่แล้วได้

4. จงบอกขั้นตอนในการสร้างตารางด้วยมุมมองการออกแบบว่ามีขั้นตอนอย่างไร
ตอบ 1. คลิกที่แท็บ Create
2. เลือกปุ่มคาสั่ง (Table Design) นกลุ่มของTablesจากนั้น Access จะเปิดตารางข้อมูลเปล่าในมุมมองการออกแบบขึ้นมาให้
3. กำหนดฟิลด์ข้อมูล แล้วกด Tab เพื่อเลื่อนไปยังช่องถัดไป
4. เลือกชนิดข้อมูล
5. กำหนดคาอธิบายฟิลด์
6. กำหนดคุณสมบัติของฟิลด์เพิ่มเติม จากนั้นทาข้อที่ 3 ถึงข้อที่ 6 จนครบทุกฟิลด์ที่ต้องการ
7. คลิกปุ่ม Save จาก Quick Access เพื่อบันทึกตาราง
8. กำหนดชื่อตาราง
9. คลิกปุ่ม OK
10. จากนั้นจะปรากฏไดอะล็อกบ็อกซ์ให้กำหนดคีย์หลัก (Primary Key) ถ้าคลิกปุ่ม Yes โปรแกรมจะกำหนดฟิลด์ใหม่ขึ้นมาให้ซึ่งเป็นคีย์หลักชื่อว่า ID แต่ถ้าคลิกปุ่ม No จะให้เรากำหนดคีย์หลักเองในภายหลัง ในที่นี้ให้คลิกปุ่ม No
5. ในการสร้างตารางด้วยแม่แบบ (Template) มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร
ตอบ

วิชา การโปรแกรมเวป 1

แบบฝึกหัดบทที่ 1
ตอนที่1

1. อินเทอร์เน็ต หรือที่เรียกกันว่าสั้น ๆ ว่าอย่างไร คืออะไร ?
ตอบ เน็ต ระบบเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุด ที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หลายล้านเครื่องเข้าด้วยกัน
จนเรียกว่า เครือข่ายไรพรมแดน


2. ลักษณะของระบบอินเทอร์เน็ตมีลักษณะอย่างไร
ตอบ ไคลเอนท์-เซิร์ฟเวอร์ ( Client-Server )

3. "ไคลเอนท์-เซิฟเวอร์"(Client-Server) คืออะไร
ตอบ มีคอมพิวเตอร์ทำหน้าที่เป็นเซิร์ฟเวอร์ ( เครื่องแม่ข่าย ) ให้บริการ เครื่องลูกข่าย ( Client ) ในการติดต่อสื่อสาร
จะมีที่อยู่ของคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในอินเตอร์เน็ต เรียกว่า ( IP Address ) เป้นเลข 4 ชุด คั่นด้ยจุด เช่น 202.146.15.9

4. ชื่อที่อยู่ของระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในอินเทอร์เน็ต เรียกกันว่าอย่างไร พร้อมยกตัวอย่าง
ตอบ IP Address เช่น 202.146.15.9

5. บอกประโยชน์ของอินเทอร์เน็ตมาอย่างน้อย 5 อย่าง
ตอบ 1.โหลดโปรแกรม
2.รับ-ส่ง E-mail
3.ค้นหาข้อมูล ข่าวสาร
4.ฟังเพลง
5.ซื้อสินค้าทางอินเตอร์เน็ต

6. ยกตัวอย่างภัยจากอินเทอร์เน็ตที่มีต่อเยาว์ชนไทยมา 3 ข้อ
ตอบ 1.สื่อลากทางอินเตอร์เน็ต
2.การติดเกมส์
3.การแชท

7. เวิลด์ไวต์เว็บ(World Wide Wed หรือ WWW หรือ W3) คืออะไร
ตอบ บริการข้อมูลในรูปแบบของ ข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง รวมทั้งวีดีโอ เป็นแหล่งข้อมูลขนาดยักษ์

8. รูปแบบของ FTP แบ่งได้เป็นกี่แบบ อะไรบ้าง
ตอบ 2แบบ 1. Download 2. Upload

9. เว็บบราวเซอร์ (Web Browser) หมายถึงอะไร
ตอบ คือ โปรแกรมที่ใช้เปิดเว็บเพจ เรียกสั้นๆว่า Browser มีหน้าที่ติดต่อกับเว็บเซิร์ฟเวอร์เพื่อขอข้อมูลที่ต้องการมาแสดงที่หน้าจอ ของโปรแกรม เช่น โปรแกรม Internet Explorer (IE)

10. URL (Uniform Resouree Locator) คืออะไร ยกตัวอย่างรูปแบบ URL
ตอบ การเข้าถึงข้อมูลใด ๆ ในอินเตอร์เน็ตไม่ว่าจะเป้นเว้บเพจ ไฟล์ประเภทอื่น ต้องรู้ Address ของข้อมุลนั้น รูปแบบถูกกำหนดไว้เป้นมาตรฐาน ประกอบด้วย 3 ส่วน 1. โปนโตคอล คือภาษกลางบนอินเตอร์เน็ต 2. ชื่อโดเมนของเครื่อง 3. ชื่อไฟล์เว็บเพจ
ตัวอย่าง URL http://www.universe.com/ampacai/index.html

ตอนที่ 2
1. ค.
2. ข.
3. ข.
4. ค.
5. ค.
6. ง.
7. ค.
8. ข.
9. ก.
10. ค.
11. ข.
12. ก
13. ค.
14. ง.
15 .ง.

วิชาการออกแบบและพัฒนาเวปเพจ

แบบฝึกหัดบทที่ 1
ระบบคอมพิวเตอร์(computer system)แบ่งออกเป็น 3 สวนหลักๆที่สำคัญ คือ
1. Hardware (ตัวเครื่อง) ได้แก่
- จอภาพ
- คีย์บอร์ด
- CPU
- เมาส์
- สแกนเนอร์
- แทรกบอลล์
- จอยสติ๊ก
- ตัวขับจานแม่เหล็ก
- ตัวขับ ซีดี-รอม
- ไมโครโฟน
- กล้องวิดีโอ
- เครื่องอ่านรหัสแท่งหรือบาร์โค้ด
2. Software (โปรแกรม) แบ่งเป็น 2 อย่างได้แก่
2.1 System Software ได้แก่
- OS
- Utility
- Translation
- Diganostic
2.2 Application Software ประกอบด้วย 2 อย่าง ได้แก่
2.2.1 User Programs (ผู้ใช้เขียนเอง) เช่น
- ภาษา C
- Visual Basic
- Pascal
- C++
- html
- Flash
2.2.2 Package Programs
- เกมส์
- Windows
- MS-office
- PhotoShop
- PhotoScape
- คอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI
3. People ware (บุคลากร) ได้แก่
- Programmer
- System Analysis
-เจ้าหน้าที่กราฟิกดีไซน์
- เจ้าหน้าที่สารสนเทส (IT support)
- Application Support
- เจ้าหน้าที่ Admin และ Project co.


บทที่1
Microsoft Office Word 2007
- การเปิดโปรแกรม Microsoft Office Word 2007Word 2007
การสร้างเอกสารด้วย Microsoft Office Word 2007 เรียกสั้น ๆ ว่า “Word” เป็นโปรแกรมที่นิยมใช้พิมพ์เอกสารต่างๆ วิธีการเรียกใช้โปรแกรมทำได้ดังนี้
1. คลิกปุ่ม Start
2. คลิกที่ All Programs
3. คลิกที่ Microsoft Office
4. คลิกที่ Microsoft Office Word 2007
- ส่วนประกอบของโปรแกรม Microsoft Office Word 2007
จะมีแถบเครื่องมือเพิ่มขึ้นมา ทำให้เรียกใช้งานได้สะดวกมากขึ้น ซึ่งมีส่วนประกอบต่าง ๆ ดังนี้
1. แถบเครื่องมือลัด (Quick Access Toolbar) สำหรับเก็บเครื่องมือที่ใช้งานบ่อย เลื่อนเม้าส์ชี้ที่ปุ่มจะมีคำอธิบายแต่ล่ะปุ่ม เรียกแถบคำอธิบายว่า “Tooltip”
2. ปุ่มกำหนดเครื่องมือด่วนเอง ทดลองคลิกที่ปุ่มนี้ดูคำสั่งภายใน เลือกรายการย่อ Ribbon ให้เล็กที่สุด Ribbon จะถูกซ่อน ให้คลิกรายการย่อ Ribbon ให้เล็กที่สุด (ซ้ำ) จะปรากฏแถบ Ribbon ตามเดิม หรือกดคีย์บนแป้นพิมพ์ Ctrl + F1 เพิ่มแสดงหรือซ่อนแถบเครื่องมือ Ribbon
3. ไตเติ้ลบาร์ (Title Bar) แสดงชื่อโปรแกรมและชื่อไฟล์เอกสารที่เปิดใช้งานอยู่
4. คอนโทรลเมนู (Control Menu) ปุ่มควบคุมการทำงานของหน้าต่างโปรแกรม
5. เมนูบาร์ (Menu Bar) แสดงรายการคำสั่งต่าง ๆ ของโปรแกรม Word 2007 ให้ทดลองคลิกเมนูหน้าแรก และคลิกเมนูแทรก เมนูเค้าโครงหน้ากระดาษ เมนูการอ้างอิง เมนูการส่งจดหมาย เมนูตรวจทาน เมนูมุมมอง และเมนู Add-In จะเปลี่ยนตามแต่ละเมนู
6. ทูลบาร์หรือริบบอน เป็นแถบเครื่องมือเก็บคำสั่งที่ใช้งาน ช่วยให้การทำงาน ง่ายขึ้น
7. ไม้บรรทัด ใช้แสดงระยะต่างของเอกสาร
8. เครื่องหมายเคอร์เซอร์ (Cursor) เส้นตรงกระพริบ บอกตำแหน่งการเริ่มพิมพ์ข้อความ
9. เมาส์พอยเตอร์ (Mouse Pointer) เรียก ไอบีม I-beam แสดงที่อยู่ของเมาส์
10. มุมมองเอกสาร (View Button) แสดงมุมมองของเอกสาร ว่าเป็นสถานะแบบใด
11. ปุ่มย่อ/ขยายเอกสาร แสดงมุมมองของเอกสาร คลิกปุ่ม – หน้าต่างเอกสารจะย่อมุมมอง หรือคลิกปุ่ม + หน้าต่างเอกสารจะขยาย
12. ปุ่มเลื่อนจอภาพ ใช้เลื่อนจอภาพขึ้นลง ครั้งละ 1 หน้าจอภาพ
13. แถบสถานะ (Status Bar) แสดงสถานการณ์ทำงาน หมายเลขหน้าในเอกสาร
14. สโครลบาร์ (Scroll Bar) เลื่อนพื้นที่การทำงานขึ้นลง
15. สโครลบ๊อกซ์ (Scroll Box) ลากเลื่อนขึ้นลงอย่างรวดเร็ว
16. สโครลแอโร่ (Scroll Arrow) คลิกเลื่อนลูกศรเลื่อนขึ้นลงทีละขึ้น
- เตรียมพร้อมก่อนใช้งานโปรแกรมเป็นหัวข้อพิเศษในการจัดรูปแบบให้เหมาะสมก่อนเริ่มใช้งานทั่วไป
การแสดง/ซ่อนสัญลักษณ์
1. เลื่อนเมาส์คลิกที่ปุ่ม ¶
2. จะปรากฏแถบเครื่องหมายย่อหน้าและสัญลักษณ์การจัดรูปแบบอื่น ๆ ที่ซ่อนอยู่
3. คลิกปุ่ม ¶ บนหน้าต่างเอกสารจะแสดงเครื่องหมาย ¶ เป็นการขึ้นย่อหน้าใหม่
4. คลิกปุ่ม ¶ ซ้ำ เครื่องหมาย ¶ ถูกซ่อน
การปรับหน่วยวัดไม้บรรทัด มีขั้นตอนดังนี้
1. คลิกปุ่ม Office
2. คลิกที่ปุ่ม ตัวเลือก Word
3. คลิกที่รายการ ขั้นสูง
4. คลิกที่ลูกศร เลือกหน่วยเป็น นิ้ว
5. คลิกที่ปุ่ม ตกลง
6. สังเกตตัวเลขบนไม้บรรทัดหน้าต่าง Word 2007 แสดงเลข 1 ถึงเลข 6
- การตั้งค่าฟอนต์เริ่มต้นให้เหมาะสมกับการทำงาน มีขั้นตอนดังนี้
1. คลิกปุ่ม ด้านขวา แถบเครื่องมือ (Font)
2. เลือกแบบอักษรข้อความละติน : เลือก Angsana New ลักษณะอักษร : ธรรมดาขนาด : 16
3. คลิกปุ่ม ค่าเริ่มต้น เพื่อครั้งต่อไปเปิดใช้งานไม่ต้องกำหนดฟอนต์ใหม่
4. คลิกปุ่ม ตกลง
- การออกจากโปรแกรม Microsoft Office Word 2007 มีขั้นตอนดังนี้
วิธีที่1 ใช้ปุ่มคอนโทรล
ดับเบิ้ลคลิกที่ปุ่มคอนโทรลบนแถบไตเติ้ลบาร์จะปิดหน้าต่างโปรแกรมทันที
วิธีที่2 ใช้ปุ่มเครื่องมือ
คลิกที่ปุ่ม X (Close) มุมบนด้านขวาของหน้าต่างโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด
วิธีที่3 ใช้ปุ่มคำสั่ง
1. คลิกที่ปุ่ม Office หรือดับเบิ้ลคลิกที่ปุ่มคอนโทรล จะปิดหน้าต่างโปรแกรมทันที
2. คลิกที่ปุ่ม ออกจาก Word มุมล่างด้านขวา

วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ

แบบฝึกหัดบทที่ 1

ให้นักศึกษาหาข้อมูลใน Internet เพื่อตอบคำถามต่อไปนี้

1 จงอธิบายวิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างละเอียด
ตอบ มี 4 ยุค
1 การประมวลผลข้อมูล มีจุดประสงค์เพื่อการคำนวณและประมวลผลของรายการประจำ
2 ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ ช่วยในการตัดสินใจ ควบคุม ดำเนินการ ติดตามผลและวิเคราะห์ผลงานของผู้บริหาร
3 การจัดการทรัพยากรสารสนเทศ ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเรียกใช้สารสนเทศที่จะช่วยในการตัดสินใจนำหน่วยงานไปสู่ความสำเร็จ
4 ยุคปัจจุบันหรือยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ ช้ระบบคอมพิวเตอร์และระบบการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดทำ ระบบสารสนเทศ และเน้นความคิดของการให้บริการสารสนเทศแก่ผู้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นวัตถุประสงค์สำคัญ

2 จงระบุองค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ตอบ 1 เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ 2 เทคโนโลยีโทรคมนาคม

3 คุณลักษณะของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ดี มีอะไรบ้าง
ตอบ 1 ความเที่ยงตรง 2 ทันต่อความต้องการใช้ 3 ความสมบูรณ์ 4 การสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้
5 ตรวจสอบได้

4 จงบอกประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศ มาอย่างน้อย 5 ข้อ
ตอบ 1 เป็นแหล่งบันเทิง 2 เพิ่มความสะดวกสบาย 3 ทำสื่อการสอน 4 ประหยัดเวลา 5 ใช้รวบรวมข้อมูล

5 จงบอกภัยของเทคโนโลยีสารสนเทศตามความเข้าใจ
ตอบ 1 สื่อลามก 2 การสร้าง/ส่งข้อมูลลวง 3 การล้วงข้อมูลมาใช้งาน

6 ปัจจัยที่ทำให้เกิดความล้มเหลวในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้
ตอบ มีปัจจัยหลัก 3 ประการ คือ 1 การขาดการวางแผนที่ดีพอ 2 การนำเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมมาใช้งาน
3 การขาดการจัดการหรือสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง

เพลง ทุ้มอยู่ในใจ

ชื่อ ศุภชัย
นามสกุล กิยะแพทย์
เกิดวันที่ 4 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534
ที่อยู่ปัจจุบันที่ติดต่อได้ 113 ซ. เพชรเกษม56แยก5 แขวงบางด้วน เขตภาษีเจริญ กทม. 10160
เบอร์โทรศัพท์นักศึกษา 0839247497
สุขภาพ แข็งแรง
โรคประจำตัว ไม่มี
แพ้ยา ไม่มี
บิดาชื่อ นาย วินัย กิยแพทย์ เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ
มารดาชื่อ นางสาว ศิริจันทร์ ปิตะละโพธิ์ เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ 089-966-8003
อาจารย์ที่ปรึกษา อ. อำภา กุลธรรมโยธิน
มือถืออาจารย์ที่ปรึกษา 081 413 4242